มงแต็สกีเยอ คือใคร ?
ประวัติความเป็นมา
ชาร์ล-หลุยส์ เดอ เซอกงดา กำเนิด ในพระราชวังลาแบรด ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส พ่อมีนามว่าฌัก เดอ เซอกงดา เป็นนายทหารซึ่งกำเนิดในเชื้อสายผู้ดี คุณย่าของชาร์ลนามว่ามารี-ฟร็องซวซ เดอ แป็สแนล ซึ่งเสียชีวิตเมื่อพ่อของชาร์ลมีอายุได้เพียงแค่ 7 ขวบ เป็นผู้ได้รับมรดกทางด้านการเงินก้อนใหญ่รวมทั้งเป็นผู้ที่ทำให้ตระกูลเซอกงดาได้รับบรรดาศักดิ์ ลาแบรด ของเจ้าขุนมูลนายบารอน ตอนหลังได้เข้ารับการเล่าเรียนจากวิทยาลัยคาทอลิกแห่งฌุยยี ชาร์ลได้สมรสกับหญิงชาวโปรเตสแตนต์นามว่า ฌาน เดอ ลาร์ตีก ซึ่งได้มอบสินสอดทองหมั้นให้แก่ชาร์ลเมื่อเขาอายุได้ 26 ปี ในปีต่อมาชาร์ลได้รับมรดกจากการที่คุณลุงของเขาที่เสียชีวิตลงรวมทั้งยังได้รับบรรดาศักดิ์ บารงเดอมงแต็สกีเยอ รวมทั้งตำแหน่ง เพรซีด็องอามอร์ตีเย ในรัฐสภาเมืองบอร์โดอีกด้วย ในช่วงเวลานี้เองที่อังกฤษประกาศว่า|ตัวเองเป็นประเทศราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นตอนหนึ่งของการปฏิวัติอันรุ่งเรือง(คริสต์ศักราช 1688–1689) และแล้วก็ได้รวมกับสกอตแลนด์จาก พ.ร.บ.สหภาพ คริสต์ศักราช 1707 สำหรับในการก่อตั้งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ต่อมาในปี คริสต์ศักราช 1715 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ทรงครองราชสมบัติมาอย่างยาวนานสิ้นพระชนม์และได้รับการสืบทอดราชบัลลังก์โดยบุตรชายพระชนมายุ 5 ปี พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชาติคราวนี้เองที่ส่งผลเป็นอย่างมากต่อตัวของชาร์ล รวมทั้งกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้จะถูกพูดถึงในงานนิพนธ์ของชาร์ลมากมายในเวลาต่อมา เพียงแค่ไม่นานเขาก็บรรลุผลสำเร็จทางด้านวรรณกรรมจากการตีพิมพ์ แล็ทร์แปร์ซาน (บันทึกเหตุการณ์เปอร์เซีย คริสต์ศักราช 1721) งานประพันธ์เสียดสีซึ่งสมมุติถึงชาวเปอร์เซียผู้เขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างเดินทางมายังกรุงปารีส ส่อให้เห็นถึงความไม่มีสาระของสังคมร่วมยุค ถัดมาเขาได้ตีพิมพ์ กงซีเดราซียง ซูร์ เล โกซ เดอ ลา กร็องเดอร์ เด รอแม็ง เอ เดอ เลอร์ เดกาด็องส์ (ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับความโหฬารและความเสื่อมถอยของชาวโรมัน–คริสต์ศักราช 1734) ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มคิดว่าได้ผลสำเร็จงานที่เชื่อมระหว่าง แล็ทร์แปร์ซาน กับผลงานชิ้นโบแดงของเขา เดอแล็สพรีเดลัว (จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย) ซึ่งตั้งแต่ก่อนในปี คริสต์ศักราช 1748 ถูกเผยแพร่โดยไม่บอกชื่อนักเขียนรวมทั้งได้เปลี่ยนมาเป็นงานประพันธ์ซึ่งมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อสังคมภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในประเทศฝรั่งเศสการตอบกลับต่องานประพันธ์นี้ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไรนักอีกทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านระบบการปกครองปัจจุบันนี้ ในปี คริสต์ศักราช 1751 โบสถ์คาทอลิกทั่วราชอาณาจักรประกาศห้ามเผยแพร่ แล็สพรี–รวมถึงงานประพันธ์ชิ้นอื่นของมงแต็สกีเยอ–และถูกใส่อยู่ในรายชื่อหนังสือต้องห้าม แต่ในส่วนอื่นของยุโรปกลับได้การตอบรับอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร
มงแต็สกีเยอได้รับการเชิดชูอย่างมากจากอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกาเหนือ ในฐานะผู้ส่งเสริมความอิสระแบบอังกฤษ (แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ส่งเสริมเอกราชของอเมริกา) นักรัฐศาสตร์ โดนัลด์ ลุตซ์ พบว่ามงแต็สกีเยอเป็นบุคคลทางวิชารัฐศาสตร์และการเมืองที่ถูกพูดถึงสูงที่สุดบนแผ่นดินอเมริกาเหนือ ก่อนเกิดการปฏิวัติอเมริกา ซึ่งถูกอ้างอิงมากยิ่งกว่าแหล่งอื่นๆโดยผู้จัดตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรองก็แต่เพียงไบเบิลเพียงแค่นั้น ตามมาด้วยการปฏิวัติอเมริกา งานประพันธ์ของมงแต็สกีเยอยังคงมีผลกระทบอย่างมากต่อเหล่าผู้จัดตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจมส์ แมดิสันแห่งเวอร์จิเนีย , บิดาแห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ปรัชญาของมงแต็สกีเยอที่ว่า “รัฐบาลควรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่มีมนุษย์ผู้ใดระแวงกันเอง” ได้ยั้งเตือนแมดิสันและคนอื่นๆ ในคณะว่ารากฐานที่เสรีและมั่นคงของรัฐบาลแห่งชาติใหม่นั้นจำเป็นจะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจที่ถ่วงดุลและถูกกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน
นอกเหนือจากการกวีงานประพันธ์เกี่ยวกับการบ้านการเมืองและสังคมแล้ว มงแต็สกีเยอยังคงใช้เวลานับเป็นเวลาหลายปีสำหรับในการเดินทางไปทั่วยุโรป เช่น ออสเตรียแล้วก็ฮังการี ดำรงชีวิตหนึ่งปีเต็มในอิตาลีและก็อีก 18 เดือนในอังกฤษ ก่อนที่จะเขาจะกลับมาอาศัยในฝรั่งเศสอีกรอบ เขาเจ็บปวดทรมานจากสายตาที่ย่ำแย่ลงตราบจนกระทั่งบอดสนิทในช่วงที่เขาเสียชีวิตจากอาการไข้สูงในปี ค.ศ. 1755 มงแต็สกีเยอถูกฝังในหลุมฝังศพของโบสถ์แซ็ง-ซูลปิสในกรุงปารีส
ปรัชญาที่ประวัติศาสตร์
หลักปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์ของมงแต็สกีเยอได้ลดหน้าที่ของเหตุการณ์ย่อยรวมทั้งปัจเจกชนลง ซึ่งเขาได้ชี้แจงทัศนะนี้เอาไว้ภายใน กงซีเดราซียง ซูร์ เล โกซ เดอ ลา กร็องเดอร์ เด รอแม็ง เอ เดอ เลอร์ เดกาด็องส์ ว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ถูกขับโดยขั้นตอนการความเป็นไปของโลก
มันไม่ใช่ชะตาชีวิตที่กำหนดความเป็นไปของโลก ถามชาวโรมันสิ, ผู้ซึ่งเจอกับการบรรลุผลต่อเนื่องกันบ่อยหลายคราในตอนที่พวกเขาถูกโน้มน้าวโดยกลยุทธ์อันหลักแหลม ในทางกลับกัน, พวกเขาก็เผชิญกับเหตุการณ์เลวรวมทั้งความเสื่อมถอยเมื่อดำเนินตามอีกแนวทางหนึ่ง มันชี้แจงได้ว่ามีต้นสายปลายเหตุทั่วไปทั้งทางศีลธรรมและรูปธรรมซึ่งมีผลต่อกษัตริย์โรมันทุกท่าน การยกฐานะบารมี, การดำรงชีวิตของพระราชอำนาจ หรือแม้กระทั้งกระบวนการทำให้พระบารมีของกษัตริย์เองนั้นเสื่อมถอยจรดดิน แม้แต่อุบัติเหตุเองก็ถูกควบคุมโดยมูลเหตุตัวแปรพวกนี้ รวมทั้งหากการรบเพียงแค่ครั้งเดียว (ซึ่งเป็นสาเหตุ) ได้นำพาเมืองไปสู่ความล่มสลาย ก็จะชี้แจงได้ว่าเหตุผลโดยปกติเป็นตัวที่ทำให้ประเทศนั้นถึงกาลหมดสิ้นจากการรบคราวนั้น ทำให้แนวโน้มความเป็นไปของโลกจึงถูกรังสฤษฏ์ขึ้นจากเรื่องราวที่อุบัติสืบไปต่อๆกันมา
ในข้ออภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของโรมันจากสาธารณรัฐไปสู่จักรวรรดิ มงแต็สกีเยอได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ถ้าหากจูเลียส ซีซาร์ รวมทั้งปอมเปย์ไม่ได้ขะมักเขม้นที่จะช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาลสาธารณรัฐแล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ต้องมีบุคคลคนอื่นๆมากระทำนี้แทนเขาสองคนอย่างไม่ต้องสงสัย แสดงให้เห็นว่าที่มาของความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตัวจูเลียส ซีซาร์ แล้วก็ปอมเปย์ ถ้าแต่มีเหตุที่เกิดจากความทะยานอยากของผู้คนชาวโรมันนั่นเอง
ทัศนะด้านการเมือง
มงแต็สกีเยอถือได้ว่าหนึ่งในนักปรัชญาแถวหน้าของมานุษยวิทยาร่วมกับเฮโรโดตุๆสและแทสิทัส ที่เป็นหนึ่งในบุคคลกรุ๊ปแรกๆของโลกที่ตีแผ่ข้อเปรียบเทียบของขั้นตอนแยกประเภทรูปแบบด้านการเมืองในสังคมมนุษย์ จริงๆแล้วนักมานุษยวิทยาการบ้านการเมืองชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่ายอร์ช บาล็องดิแยร์ พินิจมงแต็สกีเยอว่าเป็น “คนที่มีความคิดริเริ่มหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่คราวหนึ่งเคยมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อวงการมานุษยวิทยาทางวัฒนธรรมแล้วก็สังคม”3 ตามคำกล่าวอ้างของดี.เอฟ. โพคอค นักมานุษยวิทยาทางด้านสังคม “จิตวิญญาณของข้อบังคับของมงแต็สกีเยอเป็นความเพียรพยายามหนแรกสำหรับเพื่อการที่จะตรวจความหลากหลายของสังคมมนุษย์, เพื่อที่จะแบ่งประเภทรวมทั้งเปรียบ และก็เพื่อเล่าเรียนระบบการทำงานระหว่างสถาบันในสังคม”4 รวมทั้งหลักมานุษยวิทยาด้านการเมืองนี้เองได้นำเขาไปสู่การคิดค้นแนวคิดเกี่ยวกับรัฐบาลในเวลาต่อมา
ผลงานเขียนที่มีผลมากที่สุดของเขาได้แบ่งแยกฝรั่งเศสออกเป็นสามชนชั้นเช่น พระมหากษัตริย์, อภิสิทธิ์ชน และพสกนิกรทั่วไป แล้วเขายังมองเห็นแบบอย่างอำนาจของรัฐออกเป็นสองแบบคืออำนาจอธิปไตยและอำนาจบริหารรัฐธุระ ซึ่งอำนาจบริหารเมืองธุระมีอำนาจบริหาร, อำนาจนิติบัญญัติ แล้วก็อำนาจตุลาการ โดยแต่ละอำนาจควรเป็นอิสระแล้วก็แยกออกมาจากกัน ทำให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งไม่สามารถที่จะเหลื่อมล้ำอีกสองอำนาจที่เหลือหรือรวมกันเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จได้ หากพินิจพิเคราะห์ในแบบช่วงของมงแต็สกีเยอแล้ว แนวความคิดนี้จะถูกพินิจพิเคราะห์ว่าเป็นแนวคิดหัวรุนแรง ด้วยเหตุว่าหลักการของแนวคิดดังที่กล่าวถึงมาแล้วพอๆกับเป็นการทำลายการปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้นที่ยึดมั่นวรรณะที่ราชอาณาจักรอย่างสิ้นเชิง โดยวรรณะที่รัฐมีสามยศคือ เคลอจี, สิทธิพิเศษชนหรือขุนนาง รวมทั้งพลเมืองทั่วไป ซึ่งบรรดาศักดิ์ในที่สุดมีผู้แทนในสภาวรรณะสูงที่สุด แล้วก็สุดท้ายแนวความคิดนี้จะเป็นแถวคิดที่ทำลายระบบฟิวดัลในฝรั่งเศสลง
ขณะเดียวกันมงแต็สกีเยอได้ดีไซน์แบบอย่างการปกครองออกเป็นสามแบบ ซึ่งแต่ละแบบถูกส่งเสริมด้วย หลักการทางสังคม ของตัวมันเอง ยกตัวอย่างเช่น
- ราชาธิปไตย (รัฐบาลอิสระที่มีกษัตริย์เป็นบุคคลอันสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ ตัวอย่างเช่น กษัตริย์, จักรพรรดิ หรือราชินี) เป็นระบอบที่ยึดถือบนหลักการของศักดิ์ศรี
- สาธารณรัฐ (รัฐบาลอิสระที่มีผู้นำเป็นบุคคลที่ได้รับเลือกจากเสียงส่วนใหญ่ของพสกนิกร) เป็นระบอบที่ยึดมั่นบนหลักการของคุณธรรม
- เผด็จการ (รัฐบาลบังคับที่มีประธานเป็นหัวหน้าเผด็จการ) เป็นระบอบที่ยึดมั่นบนแนวทางของความเคารพ
ซึ่งรัฐบาลอิสระจะขึ้นกับการเตรียมตัวทางด้านกฎหมายอันเปราะบาง มงแต็สกีเยอได้อุทิศเนื้อหาสี่บทใน จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย สำหรับเพื่อการอภิปรายประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศรัฐบาลอิสระร่วมยุคที่ซึ่งความอิสระดำรงอยู่ได้ด้วยการดึงดุลอำนาจ รวมทั้งมงแต็สกีเยอยังกังวลใจว่าอำนาจในฝรั่งเศสที่อยู่กลาง (เป็นต้นว่า ระบบขุนนาง) ที่คัดค้านกับอำนาจของวงศ์สกุลนั้นกำลังหมดลงลง แนวคิดการควบคุมอำนาจนี้เองที่หลายครั้งมักถูกนำไปใช้โดยมักซีมีเลียง รอคอยแบ็สปีแยร์
อาจพูดได้ว่าแนวคิดที่มงแต็สกีเยอระบุไว้ภายในจิตวิญญาณแห่งกฎหมายสำหรับในการช่วยเหลือการปรับปรุงระบบข้ารับใช้นั้นค่อนข้างจะล้ำหน้ากว่ายุคสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ เขายังได้พรีเซนเทชั่นข้อแย้งสมมติเชิงเสียดสีเกี่ยวกับความเป็นทาสซึ่งเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งในข้อส่งเสริมของเขาไว้ด้วย อย่างไรก็ดีความเห็นของมงแต็สกีเยอหลายหัวข้อบางทีอาจถูกถกเถียงและก็คัดค้านในปัจจุบันเช่นเดียวกับทัศนะอื่นๆที่มาจากบุคคลยุคเดียวกับเขา เขาเห็นด้วยถึงหน้าที่ของตระกูลเจ้าขุนมูลนายและวงศ์สกุลไว้อย่างแน่นแฟ้นเช่นเดียวกันกับการยินยอมรับถึงสิทธิของลูกต้นปี ในขณะเดียวกันเขาก็รับรองแนวคิดของการมีสตรีเป็นกษัตริย์ของประเทศ แม้กระนั้นก็ไม่มีคุณภาพพอที่จะเป็นผู้นำครอบครัวได้