Apple เปิดตัว Apple Watch Series 3
Apple เปิดตัวนาฬิกา Apple Watch รุ่นที่สาม (Series 3) ที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือต่อเน็ตผ่าน cellular ได้ในตัวมันเอง ไม่ต้องพึ่งการต่อเน็ตจากสมาร์ทโฟนอีกต่อไป ช่วยให้การใช้แรงงาน Apple Watch มีอิสระมากยิ่งกว่าเดิม สามารถโทรศัพท์ได้โดยตรง และสตรีมเพลงจาก Apple Music ได้ด้วย
ในด้านของฮาร์ดแวร์ Apple ใช้ e-SIM ขนาดเล็กและก็การออกแบบเสาอากาศขนาดเล็ก เพื่อขนาดของ Apple Watch รุ่นนี้พอๆกับของเดิม มันใช้ซีพียูมองอัลคอร์ตัวใหม่ ดำเนินการได้เร็วขึ้น 70%, ชิป Apple W2 ช่วยเชื่อมต่อ Wi-Fi แล้วก็ Bluetooth ได้มีประสิทธิภาพเยอะขึ้น, เพิ่มเซ็นเซอร์วัดความสูง (altimeter) เข้ามา
ฟีเจอร์อื่นที่เพิ่มเข้ามาคือ Siri สามารถสนทนาโต้ตอบกับเราได้ด้วยเสียงพูด
Apple Watch Series 3 ยังมีรุ่นพิเศษของ Nike แล้วก็ Hermes รวมทั้งสีใหม่ของรุ่นเซรามิกเป็นสีเทาเข้มด้วย
นาฬิกา Series 3 รุ่นธรรมดาไม่มี cellular ราคาเริ่มต้น 329 ดอลลาร์, รุ่นมี cellular เริ่มต้น 399 ดอลลาร์ แล้วก็ยังลดรุ่น Series 1 ลงเหลือ 249 ดอลลาร์ เริ่มรับพรีออเดอร์ 15 เดือนกันยายนนี้ ของขายจริง 22 เดือนกันยายน
Apple เปิดตัว Apple TV 4K รองรับความละเอียดระดับ 4K HDR
แอปเปิลเปิดตัว Apple TV แบบใหม่ชื่อว่า Apple TV 4K รองรับการแสดงผลระดับ 4K HDR ซึ่งช่วยเหลืออีกทั้ง Dolby Vision กับ HDR10 มีซีพียู A10X แบบเดียวกับ iPad Pro รวมทั้งแรม 3GB
ส่วนผู้ใช้งานก็มีการปรับปรุงแก้ไขให้รองภาพที่ชัดเจนขึ้นแบบ 4K รวมทั้ง Siri ที่เพิ่มคุณสมบัติชี้แนะการแข่งขันชิงชัยกีฬาที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น
สำหรับคอนเทนต์ 4K นั้น แอปเปิลประกาศว่าภาพยนตร์ใน iTunes Store แบบ 4K ที่เพิ่มเข้ามาจะขายในราคาพอๆกับแบบ HD และก็ผู้ที่เคยซื้อภาพยนตร์ HD ไปแล้ว จะได้รับการอัพเกรดเป็น 4K ทันที ส่วนคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มอื่นนั้น Netflix จะรองรับการทำงานในทันที เวลาที่ Amazon Prime จะรองรับด้านในปีนี้
Apple TV 4K ขายในราคา 8,500 บาท สำหรับปริมาตร 32GB รวมทั้ง 9,200 บาท สำหรับ 64GB ส่วน Apple TV 4th Gen ลดลงมาเหลือ 6,900 บาท สำหรับ 32GB (เดิม 7,200 บาท) เปิดให้จองเมื่อวันที่ 15 ก.ย. เริ่มส่งตั้งแต่ 22 ก.ย. ในอเมริกา ส่วนของไทยยังมิได้กำหนด
Apple เปิดตัว iPhone 8, 8 Plus
Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่ยังไม่ใช่รุ่นพิเศษในชื่อ iPhone 8 / 8 Plus ตามข่าวหลุด ซึ่งถึงชื่อรุ่นจะเปลี่ยนแปลง แต่ความเคลื่อนไหวราวกับเปลี่ยนจาก iPhone 7 ไปสู่ 7s เป็นหน้าตาอย่างเดิม แต่ว่าอัพเกรดฟีพบร์รวมทั้งฮาร์ดแวร์ต่างๆโดยเฉพาะตัวเครื่องที่เป็นกระจกอีกทั้งหน้ารวมทั้งหลัง ซึ่ง Apple บอกว่าเป็นกระจกที่ทนที่สุดบนสมาร์ทโฟนในช่วงเวลานี้ รวมทั้งบอดี้เป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับยานอวกาศ
เริ่มจากซีพียูใช้ชิป A11 Bionic ขนาด 6 แกน ดำเนินงานแบบมัลติเธรดเร็วขึ้น 70% ส่วนจีพียูเร็วขึ้น 30% รองรับเกมจากเอนจินต์ 3D และ Metal 2 ไปจนถึง Core ML หน้าจอเป็น Retina HD Display รวมทั้งเป็น True Tone Display ลักษณะเดียวกันกับ iPad Pro ลำโพงเป็นลำโพงสเตอริโอบนด้านล่าง ดังขึ้น 25% รองรับการป้องกันน้ำกันฝุ่นละออง
กล้องถ่ายภาพบน iPhone 8 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เหมือนกับ iPhone 8 Plus ที่เป็นกล้องถ่ายภาพคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลทั้งคู่ f/1.8 และก็ f/2.8 แฟลชแบบ Quad แอลอีดี True Tone โดย Apple ดีไซน์ Image Sensing Processor ของกล้องถ่ายภาพเอง มี noise ลดน้อยลง, ความกว้างสีกว้างขึ้น, มี OIS พร้อมโหมด Portrait บน iPhone 8 Plus ซึ่งสามารถปรับแสงบนใบหน้าผ่านกล้องถ่ายภาพได้โดยตรงผ่าน Machine Learning ที่ปฏิบัติภารกิจแยกพื้นหลังกับแบบ
iPhone 8 รวมทั้ง 8 Plus รองรับการใช้งานแอปแล้วก็เกม Augmented Reality ลักษณะเดียวกันกับ iPad Pro ส่วนวิดีโอรองรับการถ่ายสูงสุดที่ 4K 60fps รองรับ Qi Wireless Charging มี 3 สีเป็นสีเงิน (Silver), สีดำ (Space Grey) แล้วก็สีทองแดง (Gold Finish)
ราคาเริ่มต้นของ iPhone 8 อยู่ที่ 699 ดอลลาร์ (ราว 24,500 บาท) และก็ iPhone 8 Plus เริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์ (ราว 28,000 บาท) ทั้งสองรุ่นมีสองความจุเป็น 64GB รวมทั้ง 256GB
Apple เปิดตัว iPhone X (ไอโฟนเท็น) ไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮม
iPhone X ใช้ดีไซน์ตรงกับข่าวสารหลุดที่ออกมาก่อนหน้าที่ผ่านมา หน้าจอ OLED เกือบจะไร้ขอบ มีเว้าแหว่งด้านบน ตัดปุ่มโฮมออก แปลงมาใช้กล้องหน้า True-Depth สแกนบริเวณใบหน้าเพื่อปลดล็อคแทน โดยมีราคาเริ่มที่ 999 ดอลลาร์
iPhone X ใช้ออกแบบกระจกทั้งด้านหน้ารวมทั้งข้างหลังแบบเดียวกับ iPhone 8 แต่ว่าเน้นย้ำความโค้งมนมากยิ่งกว่า ตัวกระจกจะเรียบเนียนต่อไปกับขอบข้างๆ
เพราะว่าใช้ดีไซน์ขอบบาง ตัวเครื่อง iPhone X มีขนาดเล็กกว่า iPhone 8 Plus ที่มีหน้าหน้าจอขนาดเล็กกว่า (5.5″) และมีขนาดใหญ่กว่า iPhone 8 (4.7″) น้อย
จอ OLED ไม่มีขอบ ไร้ปุ่มโฮม
ของใหม่ที่สำคัญของ iPhone X คือจอภาพ Super Retina Display ขนาด 5.8″ 2436×1125 (458 ppi มากที่สุดในประวัติศาสตร์ iPhone) ใช้วางแบบแบบไม่มีขอบ ตัวจอภาพเป็น Oแอลอีดี ที่มีอัตราคอนทราสต์สูง รวมทั้งแก้ข้อเสียของ Oแอลอีดี เรื่องความสว่างรวมทั้งความแม่นยำของสีไปแล้ว
ตัวหน้าจอรองรับการแสดงผล HDR อีกทั้งมาตรฐาน Dolby Vision และก็ HDR10, รองรับการสัมผัสแบบ 3D Touch ในตัว
iPhone X ยังตัดปุ่มโฮมออก ใช้แนวทางแตะต้องหน้าจอเพื่อปลุกแทน แล้วก็ใช้ gesture ต่างๆสั่งงาน อย่างเช่น ปัดขึ้นเพื่อปิดหรือสลับแอพ
สแกนใบหน้า Face ID มาแทน Touch ID
ส่วนฟีพบร์สแกนลายพิมพ์นิ้วมือ Touch ID ถูกเอาทิ้งไป เปลี่ยนแปลงมาใช้การปลดล็อคด้วยการสแกนใบหน้า Face ID แทน โดยใช้ระบบกล้องถ่ายภาพและเซ็นเซอร์ด้านหน้าหลายตัว ทำงานร่วมกันร่วมกับเคล็ดลับ machine learning สร้างโมเดลบริเวณใบหน้าที่แม่นยำ
สำหรับผู้ที่หนักใจเรื่องความเป็นส่วนตัว ข้อมูลใบหน้าจะถูกประมวลผลข้างในเครื่องแค่นั้น รวมทั้งเก็บไว้ในชิปพิเศษของ Apple ลักษณะเดียวกันกับข้อมูลลายนิ้วมือ Touch ID Face ID ยังสามารถใช้แทน Touch ID ในการชำระเงิน Apple Pay รวมทั้งใช้ล็อกอินกับแอพตัวอื่นๆได้ด้วย
Animoji อีโมจิที่ขยับตามใบหน้าของเรา
ระบบกล้องถ่ายภาพหน้าของ iPhone X เว้นเสียแต่ใช้สแกนบริเวณใบหน้าเพื่อล็อกอินแล้ว ยังมากับฟีพบร์ใหม่ Animoji ที่ขยับใบหน้าของ Emoji ตามบริเวณใบหน้าของเราได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีเอฟเฟคต์สติ๊กเกอร์ที่ขยับตามใบหน้า (ชนิดเดียวกันกับ Note 8) ด้วยเช่นกัน
กล้องคู่ด้านหลัง กล้องหน้า True-Depth
iPhone X ใช้กล้องถ่ายรูปคู่ 12MP ตัวเดียวกับ iPhone 8 Plus (f/1.8 และก็ f/2.4) แม้กระนั้นวางเรียงในแนวดิ่ง กล้องทั้งคู่ตัวมากับ OIS และก็มีแฟลช LED True Tone 4 ตัว
กล้องถ่ายรูปมาพร้อมกับฟีเจอร์ Portrait Mode และ Portrait Lighting ลักษณะเดียวกันกับ iPhone 8
ส่วนกล้องถ่ายรูปหน้าใช้ประโยชน์จากกล้องถ่ายภาพ True-Depth เพิ่มโหมด Selfie ที่สมจริงสมจัง มีฟีพบร์ Portrait แบบเดียวกับกล้องถ่ายรูปข้างหลัง
ฮาร์ดแวร์เดียวกับ iPhone 8
ใช้สเปกเดียวกับ iPhone 8 โดยเป็นชิป A11 Bionic แล้วก็จีพียู, หน่วยประเมินผลภาพ (ISP) ที่ Apple วางแบบเอง
แบตเตอรี่อยู่ได้เป็นเวลายาวนานกว่า iPhone 7 อีก 2 ชั่วโมง และก็รองรับระบบชาร์จไร้สาย Qi ราว iPhone 8
ราคาเริ่ม 999 ดอลลาร์ แพงสุด 1,149 ดอลลาร์
iPhone X มีให้เลือกสองสีเป็น Space Grey รวมทั้ง Silver มีปริมาตรให้เลือก 2 แบบเป็น 64GB ราคา 999 ดอลลาร์ (โดยประมาณ 33,000 บาท) และ 256GB ราคา 1,149 ดอลลาร์ (โดยประมาณ 38,000 บาท) ส่วนราคาไทยก็จำต้องรอติดตามกันต่อไป
iPhone X เปิดพรีออเดอร์ 27 ต.ค. ขายจริง 3 เดือนพฤศจิกายน
การเปิดตัว iPhone X ทำให้ปีนี้ Apple มี iPhone วางขายทั้งหมด 5 รุ่น เริ่มตั้งแต่ iPhone SE (ที่ยังขายอยู่!) ราคา 349 ดอลลาร์ ไล่มายัง iPhone 6s, 7, 8 แล้วก็ X ที่ระดับสูงสุด
Apple เผยโฉม Air Power แท่นชาร์จไร้สาย
ข้างหลัง Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่อีกทั้ง iPhone 8 / 8 Plus แล้วก็ iPhone X ที่รองรับความสามารถในการชาร์จไร้สายไปแล้ว ก็ไม่พ้นที่ Apple จะทำแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับการชาร์จเครื่องใช้ไม้สอยหลายๆเครื่องพร้อมกันก่อนจะเผยโฉม (Sneak Peek) ให้ดูอย่างคร่าวๆ
แท่นชาร์จไร้สายนี้ Apple เรียกว่า Air Power ใช้มาตรฐานการชาร์จไร้สายของ WPC หรือชื่อการค้า Qi Wireless Charging รองรับการชาร์จอีกทั้ง iPhone รุ่นใหม่, Apple Watch Series 3 แล้วก็ AirPods ที่อยู่ในเคสแบบใหม่ ซึ่งยังไม่มีการเปิดตัวหรือเอ่ยถึง ซึ่งจะชาร์จเคสรวมทั้ง AirPods ไปพร้อมๆกัน ขณะที่แท่นชาร์จนี้ยังไม่มีการเปิดเผยราคาหรือวันวางจำหน่ายขอรับ